นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เลือกจับมือกับ Heatherwick Studio เพราะเชื่อมั่นในความสามารถด้านการสร้างสถาปัตยกรรมที่ไม่เพียงโดดเด่นบนเส้นขอบฟ้า แต่ยังเชื่อมโยงกับผู้คนอย่างลึกซึ้ง เราได้พูดคุยกับคุณโทมัสถึงปรัชญาการออกแบบของเขา ความสำคัญของอารมณ์ความรู้สึกในงานสถาปัตยกรรม และเหตุผลที่โครงการ Hatai มีความพิเศษไม่เหมือนใคร
อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณก่อตั้ง Heatherwick Studio ขึ้นมา?
ผมก่อตั้งสตูดิโอขึ้นเพราะรู้สึกว่า มีช่องว่างในโลกของการสร้างเมืองที่ยังรอการเติมเต็มอยู่
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แนวคิดเรื่องการออกแบบเมืองเริ่มลดทอนความเป็นมนุษย์ลงเรื่อย ๆ
สตูดิโอของเราพยายามออกแบบโครงการที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกและอารมณ์ของผู้คน รวมถึงสนับสนุนสุขภาพจิตของคนเมือง และด้วยแนวคิดนี้เอง เราจึงสร้างอาคารที่มีความยั่งยืนในระยะยาวมากขึ้น เพราะถ้าผู้คนไม่รู้สึกผูกพันกับอาคาร ก็มีแนวโน้มที่อาคารนั้นจะถูกรื้อถอน ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่ต่อสิ่งแวดล้อม
เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราคือการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ผู้คนรู้สึกรักและผูกพัน เรากำลังเรียนรู้ว่าอะไรที่จะทำให้โครงการหนึ่งสามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวางที่สุด นี่คือสิ่งที่น่าสนใจและสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้เมืองต่างๆของเรากลับมาเป็นเมืองสำหรับมนุษย์อีกครั้ง
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจรับโปรเจค HATAI?
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันล้ำค่า แต่หลายเมืองในเอเชีย เมื่อเศรษฐกิจถูกพัฒนามากขึ้นก็กลับกลายเป็นเมืองที่เหมือนกันไปซะหมด อาคารที่สร้างขึ้นก็มักจะไม่มีเอกลักษณ์ ถึงแม้จะดูหรูหราและอินเตอร์แค่ไหนก็ตาม
แต่เราอยากสร้างอาคารและโครงการที่เชื่อมโยงกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะเป็นอาคารโมเดิร์นที่ดูว่างเปล่า แข็งกระด้าง และไม่น่าจดจำ
วัฒนธรรมไทยอันเป็นที่รักนั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดที่งดงามและชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ เครื่องประดับตกแต่ง หรือศาลเจ้า เราเพียงแต่ต้องหาวิธีนำเสนอสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบใหม่ที่ยังคงต้องมี “ตึกสูง” เป็นองค์ประกอบหลักด้วย!
วิสัยทัศน์ของโครงการนี้คืออะไร?
นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป มอบหมายให้เราสร้าง “ย่านใหม่” ที่รวมโรงแรม พื้นที่ค้าปลีก พื้นที่ทำงาน พื้นที่สาธารณะเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งต้องมีส่วนประกอบที่แสดงความรำลึกถึงลำคลองที่เคยไหลผ่านพื้นที่นี้ แปลว่าเราต้องสร้างพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร
เราตื่นเต้นกับโครงการที่มีพื้นที่สาธารณะที่ใครก็สามารถเดินเข้ามาได้เป็นอย่างมาก เพราะโครงการลักษณะนี้ช่วยทำให้เมืองมีชีวิตชีวาและเปิดโอกาสให้คนพบปะกันมากขึ้น แทนที่จะค่อยๆทำลายเอกลักษณ์ของเมืองลงไปเมื่อมีการสร้างหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาคารใหม่ๆ
คุณมีวิธีอย่างไรในการสร้างให้โครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ ยังคงให้ความรู้สึกเป็นมิตรกับผู้คน?
อาคารและเมืองต่างๆ กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ขนาดของมนุษย์ไม่ได้ใหญ่ตามไปด้วย เรายังคงโหยหาพื้นที่ที่เข้าใจและเอื้ออำนวยต่อสัดส่วนที่เหมาะกับมนุษย์
เมืองในร้อยปีที่ผ่านมาถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดที่ล้วนลดทอนความรู้สึกของมนุษย์ต่อสิ่งก่อสร้างลงไป ตัวอย่างเช่น “การใช้รูปทรงตามการใช้สอย” (Form Follows Function) “น้อยแต่มาก” (Less is More) และ “การตกแต่งคืออาชญากรรมทางสถาปัตย์” (Ornament is Crime) ซึ่งแนวคิดเหล่านี้อาจเหมาะสมในช่วงเวลานั้นๆ แต่กลับทำลายจิตวิญญาณของเมืองไป เราได้แต่มองเห็นเมือง และอาคารที่ไร้เรื่องราว ไร้ความเฉพาะตัว และซ้ำซากจำเจ
เราเคยสร้างอาคารที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวตนของเรา อาคารที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน อาคารที่มีรายละเอียดชวนให้รู้สึกอัศจรรย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป โลกกลับถูกทำให้เรียบง่ายเกินไป
เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนทำให้เมืองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผ่านโครงการของนารายณ์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความรู้สึก และเรื่องเล่าอันลึกซึ้ง
เราอยากรู้มากๆว่าอาคารแต่ละอาคารจะทำให้คนรู้สึกอย่างไร ซึ่งผมรู้ดีว่ามันอาจฟังดูไม่เท่สักเท่าไหร่ในวงการสถาปัตย์ แต่นั่นแหละคือวิธีที่เราสัมผัสอาคาร ไม่ใช่แค่วัตถุที่จับต้องได้เท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก



ช่วยเล่าถึงแนวคิดสถาปัตยกรรมของโครงการนี้ อะไรที่ทำให้ตึกเหล่านี้แตกต่างจากตึกทั่วไป?
แทนที่เราจะหลงใหลไปกับความเงาวับและความแข็งทื่อเป็นบล็อคๆของอาคาร เรากลับนั่งคุยกันถึงเรื่อง “ความนุ่มนวล” อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความเป็นจริงแล้วตึกไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่นุ่มนวลเลย แต่นั่นแหละคือความท้าทายของบรีฟนี้
แน่นอนว่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ เราจำเป็นต้องสร้างอาคารสองตึก แต่จะทำอย่างไรให้อาคารเหล่านั้นยังคงให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับสัดส่วนของมนุษย์?
คำถามที่ตามมาคือ: ‘ตึกสูงเป็นแค่ตึกเดียว หรือเป็นพื้นที่หลายๆส่วน? เราควรเน้นแค่ส่วนยอดตึก หรือจะกระจายความสำคัญลงมาข้างล่างได้?’
ดังนั้น แทนที่จะมองว่าตึกสูงเป็นเพียงวัตถุขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่โดดๆ เราก็เริ่มคิดว่ามันคือกลุ่มของวัตถุหรือพื้นที่หลายๆส่วนมาประกอบกัน
โดยทั่วไปแล้วอาคารสูงอาจเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมมากมาย แต่กิจกรรมเหล่านั้นล้วนถูกซ่อนไว้จากสายตาผู้คน เราต้องการดึงช่วงเวลาแห่งกิจกรรมเหล่านั้นออกมา เพื่อให้ผู้คนได้เห็นและทำความเข้าใจ
เราจึงออกแบบตัวตึกให้เหมือนชุดของโคมไฟที่วางซ้อนกันทีละชั้น แต่ละโคมมีความนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง พอมารวมกันก็ทำให้ภาพรวมของตึกดูนุ่มนวลขึ้น ดูละมุนขึ้นเมื่อมองจากเส้นขอบฟ้าของเมือง
โคมไฟเหล่านี้ส่งผลต่อความประสบการณ์ของคนเมื่ออยู่ใกล้อาคารอย่างไร?
เราเริ่มนึกถึงโคมไฟ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษหรือโลหะ ที่มีการเจาะหรือตัดเป็นรูปต่างๆ เพื่อให้เกิดลวดลายแสงและเงา ไอเดียนี้ทำให้เราอยากลองตัดรูปทรงที่น่าสนใจลงบนตัวตึกบ้าง
จากในห้องพักโรงแรม ช่องเปิดเหล่านี้จะให้ความรู้สึกที่ต่างจากหน้าต่างกระจกสี่เหลี่ยมทั่วไปมาก มันสร้างความรู้สึกนุ่มนวลและมีพื้นผิวสัมผัส ทำให้มุมมองที่เราเห็นวิวภายนอกเปลี่ยนไป
ในมุมมองที่กว้างขึ้น โคมไฟที่ซ้อนกันจะทำลายรูปทรงตึกสูงแบบเดิมๆ ที่ดูแข็งทื่อ แต่แม้ในรายละเอียดเล็กๆ อย่างในห้องพักหรือหน้าร้านค้า เราก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลนั้น
ผลลัพธ์คือความมีมิติของดีไซน์ที่ค่อยๆไล่ระดับตั้งแต่เส้นขอบฟ้าลงมาสู่ท้องถนน สร้างประสบการณ์ให้ผู้คนรู้สึกถึงความพิเศษของอาคารในทุกระดับชั้น

การออกแบบภูมิทัศน์ (Landscape Design) สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมของอาคารอย่างไร?
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราเกี่ยวกับภูมิทัศน์ คือแนวคิดที่ว่ามันสามารถสะท้อนเงาจากโคมไฟได้
เมื่อนำไฟไปใส่โคมไฟที่มีลวดลาย จะเกิดเงารูปทรงต่างๆบนพื้น เราจึงลองจินตนาการว่า หากนำรูปทรงช่องแสงที่ “เจาะออก” มาจากตัวอาคาร มาใช้ในการออกแบบภูมิทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นที่นั่ง กันสาด หรือองค์ประกอบอื่น ๆ จะเกิดบรรยากาศแบบไหนขึ้น
สิ่งนี้ได้คือความเชื่อมโยงอย่างกลมกลืนระหว่างตัวตึกกับภูมิทัศน์ จากประสบการณ์ของเรา โปรเจกต์จะออกมาดีที่สุดเมื่อทุกรายละเอียดดูเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เมื่อคอนเซ็ปท์หลัก ส่งผลต่อเนื่องไปยังเรื่องราวเล็กๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของถนนสีลมมีผลต่อแนวคิดของคุณอย่างไร?
ถนนสีลมเคยเป็นคลอง และถูกพัฒนาเป็นถนนสายหลักในเวลาต่อมา ถึงแม้เราไม่อาจย้อนเวลาไปกู้สายน้ำกลับมาได้ แต่เราสามารถบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตได้ เราจึงใช้โอกาสนี้ในการนำเอาองค์ประกอบธรรมชาติ ซึ่งรวมไปถึง สายน้ำ ผิวสัมผัส และพื้นที่สาธารณะ กลับคืนมาสู่พื้นที่ภายในโครงการ
ถนนสีลมคือเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อย่านต่างๆในเมืองกรุงเทพมหานคร เพราะฉะนั้นการสร้างสรรค์อะไรสักอย่างขึ้นมาในย่านนี้มีความหมายมากกว่าเพียงการสร้างสรรค์รูปร่างของตึก แต่มันคือการสร้างชีวิตชีวาและวัฒนธรรมที่มีความหมายให้กับเมือง
เราหลงใหลในการออกแบบพื้นที่สาธารณะ และโปรเจคนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ทดลองออกแบบพื้นที่สาธารณะบนถนนที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวที่ชัดเจนอยู่แล้ว
คุณหวังว่าพื้นที่สาธารณะแห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่แบบไหน?
หลายโครงการในเอเชีย โดยเฉพาะในเมืองร้อน มักสร้างศูนย์การค้าที่ปิดมิดชิดและเปิดแอร์ตลอด ซึ่งมักทำให้บรรยากาศดูเหมือนกันไปหมด ไม่มีเอกลักษณ์
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับกรุงเทพฯ คือชีวิตบนท้องถนน — ทั้งวัฒนธรรม ความคึกคัก และความคาดเดาไม่ได้ของการใช้ชีวิตภายนอกอาคาร โครงการนี้ทำให้เรามีโอกาสสร้างพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่กว่า 7,000 ตารางเมตร ที่มีหลังคากันฝน มีต้นไม้ และมีน้ำ เพื่อให้ผู้คนอยากออกมาใช้ชีวิตบนท้องถนนและออกสำรวจมากขึ้น
ในอดีตเคยมีคลองไหลผ่านกลางพื้นที่นี้ และกรุงเทพเองก็มีความตั้งใจจะนำความทรงจำในอดีตนั้นกลับมา นี่คือความน่าสนใจของบรีฟนี้ ที่ทำให้เราต้องออกแบบและสร้างสถานที่ที่ผู้คนจะรักและผูกพันจริงๆ
พื้นที่ตรงกลางของโครงการจะมีน้ำเป็นตัวเชื่อม มีเส้นทางเดินและทางลัดหลายเส้น ทำให้หัวใจของโครงการนี้ไม่ใช่ตัวตึก แต่เป็นเหมือนถนนแห่งสายน้ำ
ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่สถานที่ที่ผู้คนแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนสามารถพบเจอกัน เพื่อใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ และสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้ในกรุงเทพฯ
ความประทับใจที่คุณมีต่อการทำงานกับทีมนารายณ์
ทุกบทสนทนากับทีม นารายณ์ สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องความผูกพันลึกซึ้งแบบครอบครัว
คุณปู่เป็นผู้สร้างโรงแรมนารายณ์ขึ้น ซึ่งในยุคนั้นนับเป็นโรงแรมที่ใช้จัดประชุมขนาดใหญ่แห่งแรกๆของกรุงเทพฯ ที่มีห้องอาหารหมุนได้ (Revolving Restaurant) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น
และตอนนี้ พวกเขาก็มีความกล้าและเป็นผู้นำที่จะบอกว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราจะสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”